ภาพรวมสถานการณ์ปัจจุบัน เชื่อว่าคาดหวัง Upside มากกว่าผลกระทบ COVID รอบใหม่ จากทั้งความพร้อมของรพ. กอปรกับ ความคืบหน้าวัคซีนรพ.เอกชน เปิด Upside ทั้งรายได้ใหม่ และการระบาดที่กลับสู่ปกติเร็วกว่าคาด ลงทุน เท่าตลาด แนะนำ BDMS, PR9 และ BCH

แนวโน้มผลประกอบการ 1Q64 ไม่เด่นตามปริมาณขายยางมะตอยที่ลดลงในช่วง Low season ประกอบกับวัตถุดิบที่มีจำกัด แม้การจัดหา Crude แหล่งใหม่เริ่มมีความต่อเนื่อง แต่ถูกหักล้างด้วยต้นทุนการผลิตยางมะตอยที่เพิ่มขึ้นมาก จุดเปลี่ยนแท้จริงต้องรอสหรัฐยกเลิก Sanction ต่อเวเนซูเอลา

คาดกำไรสุทธิงวด 1Q64 จะเดินหน้าทำ New high ต่อเนื่อง จากการปรับเพิ่มราคาขายได้ถึง 20% qoq สะท้อนปัญหาถุงมือยางขาดแคลนที่ยังรุนแรง นำไปสู่การเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-65 ขึ้นเฉลี่ย 26% ราคาหุ้นมี PER เพียง 4 เท่าและคาดหวังปันผลได้กว่า 11% ยังแนะนำซื้อ  

แนวโน้มกำไรสุทธิงวด 1Q64 จะเดินหน้าทำ New high ต่อเนื่อง จากธุรกิจถุงมือยางเติบโต ขณะที่ทิศทางกำไรยังดีต่อเนื่องในงวด 2Q64 จากธุรกิจยางพาราฟื้นตัว ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-65 ขึ้นเฉลี่ย 23% และได้ FV ใหม่ 60 บาท Valuation ยังน่าสนใจ แนะนำซื้อ

แนวโน้มกำไรสุทธิ 1Q64 จะอ่อนตัวลงตามฤดูกาล แต่เห็นการเติบโต YoY ทั้งนี้ คาดทิศทางกำไรงวด 2Q64 จะเติบโต จากการเข้าช่วง high season ของธุรกิจ อีกทั้ง ยังเห็นพัฒนาการเชิงบวกของ Red Lobster ต่อเนื่องและทิศทางค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง Valuation น่าสนใจ ยังแนะนำซื้อ

แผนที่จะพลิกฟื้นจากขาดทุนหนัก อันเนื่องมาจากการแข่งขันสูง ชัดเจนมากขึ้น เชื่อว่าธุรกิจ JAS ผ่านช่วงตกต่ำไปแล้ว แม้เพิ่มประมาณการ สะท้อนแผนธุรกิจใหม่ และได้ขาดทุนปี 2564-65 ลดลง แต่การพลิกกลับมาสร้างกำไร ยังต้องใช้เวลา 1-2 ปี ปรับเพิ่มเป็นเพียง Switch จาก ขาย

คาดกำไร 1Q64 เติบโตเด่น หนุนด้วย Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและ Packaging ทำกำไรแค่ประคองตัวจากปีก่อน นอกจากนี้ SCC ยังได้ประโยชน์หาก ตลท.ใช้วิธี Free Float Adjusted คำนวนดัชนีเพราะเป็นหุ้น Big Cap ที่มี Free Float สูงถึง 66%

กำไร 1Q64 แม้มีพัฒนาการล่าช้าเมื่อเทียบกับ 1Q63 แต่ถ้าเทียบกับ 4Q63 จะเติบโต 15%QoQ เพราะรวมงบการเงิน SOVI และ Go-Pak เป็นไตรมาสแรก คาด 2H64 การเติบโตของกำไรจะเด่นชัดจากโครงการ Brown Field และ M&P เข้าหนุน แต่ราคาหุ้นที่ขึ้นมาจนเต็มมูลค่า แนะนำ Switch ไป SCC

คาดกำไรสุทธิงวด 1Q64 จะเติบโต จากราคาสุกรและไก่ในไทย เวียดนามและจีนฟื้นตัว ขณะที่ทิศทางกำไรงวด 2Q64 ยังยืนสูงต่อเนื่อง จากปัญหาสุกรขาดแคลนในเอเชีย และการเข้าช่วงส่งออกไก่สู่ต่างประเทศ ราคาหุ้นมี Valuation น่าสนใจ มี PER เพียง 9 เท่า และ PBV 1.1 เท่า ยังแนะนำซื้อ   

Presale 1Q64 รวม 7.22 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% yoy และ 83% qoq หนุนด้วยแนวราบทำ New High รายไตรมาส โดยยอดขาย 1Q64 คิดเป็น 27% ของเป้าทั้งปี คาดมีแนวโน้มสูงขึ้นตามแผนเปิดโครงการใหม่ช่วงที่เหลือ แนะนำซื้อ แนวโน้มกำไร 1Q64 เด่น YoY และทั้งปีเติบโตสูง 43% yoy

แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่ราบรื่นจาก COVID-19 แต่หากไม่มี Full Lock down คาดสำรองยังสอดคล้องกับที่ประเมิน ขณะที่ NIM มีแนวโน้มดีขึ้นช่วง 2H64 หลัง ธ.พ. เริ่มเดินหน้าลดเงินฝากประจำตั้งแต่ มี.ค. 64 แนะนำ เท่าตลาด ชอบ TISCO งบดุลแกร่ง และ BBL ที่ Laggard กลุ่มฯ   

TMT ตั้งเป้าขายเหล็กปี 2564 จะมีปริมาณเติบโต 10%YoY วางแผนเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อขยายส่วนแบ่งตลาดจากปัจจุบัน 18.9% มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกมิติ ขณะที่สัญญาณราคาเหล็กเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยเพิ่มประมาณการกำไรปี 2564-65 ขึ้น 23.5-36.7% แนะนำซื้อ

คาดกำไร 1Q64 ลดลงจำกัด 6.6%qoq แม้อยู่ในช่วงลงทุน 5G แต่ชดเชยจากต้นทุนจากการลงทุนในอดีตที่ตัดจ่ายครบ และรายได้ค่อยๆฟื้นตัว ซึ่งประโยชน์ต้นทุนที่เห็นต่อเนื่อง บวกกับ รายได้กลับมาดีขึ้น จุดเด่นผู้นำ 5G ขณะที่ Downside ต้นทุนคลื่นใหม่ต่ำ คาดหนุนกลับมาเติบโตอีกครั้ง 2H64

ภาพรวมกลุ่มเกษตร-อาหารยังเติบโตต่อเนื่องในปี 2564 นำโดยธุรกิจสุกร ส่งออกไก่ ทูน่า น้ำตาลและยางพารา นอกจากนี้ ยังได้ผลบวกจากทิศทางค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง ส่งผลบวกต่อประสิทธิภาพการทำกำไร ขณะที่ Valuation ยังน่าสนใจ เลือก CPF และ TU เป็น Top picks

คาดกำไรปกติ 1Q64 ลดลง 19.6%qoq จากต้นทุนคลื่นใหม่ แม้คาดหวังกำไรค่อยๆฟื้นตัวได้ในช่วงถัดไป แต่อยู่บนภาพแข็งแรงน้อยกว่าคู่แข่ง และยังอาจขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะความจำเป็นต้องเร่งลงทุน และการประมูลคลื่น 5G มาเสริม กอปรกับ Upside จำกัด คง Switch ไป INTUCH

สหรัฐฯ แบนถุงมือยางจาก Top Glove เนื่องจากใช้แรงงานผิดกฎหมาย ยิ่งทำให้ปัญหาถุงมือยางขาดแคลนรุนแรงขึ้น หนุนแนวโน้มราคาถุงมือยางยืนสูงต่อเนื่อง ถือเป็นผลบวกทางอ้อมต่อ STGT บวกกับ Valuation ที่น่าสนใจ มี PER เพียง 4 เท่า และ Dividend yield กว่า 10% มองเป็นโอกาสลงทุน

แนวโน้มธุรกิจสุกรและส่งออกไก่ยังดีต่อเนื่องในปี 2564 พร้อมขยายกำลังการเลี้ยงสุกรในไทยและเวียดนาม รองรับแนวโน้มราคาสุกรสุกรที่ยังยืนสูงต่อเนื่อง จากปัญหาสุกรขาดแคลนในเอเชีย ขณะที่ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นยังบริหารจัดการได้ จึงมองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน

Presale 2M64 ทำได้กว่า 4 พันล้านบาท หรือ 15% ของเป้าบริษัททั้งปี คาดสูงมากขึ้นตามแผนเปิดโครงการใหม่ปีนี้ ขณะที่ยอดโอนฯ และกำไรมีแนวโน้มไต่ระดับเพิ่มเป็นรายไตรมาส หนุนด้วยโอนฯ คอนโดฯ ใหม่ปีนี้ 5 โครงการ ซื้อเมื่ออ่อนตัว ปันผล 4Q64 ราว 5% และกำไร 1Q64 จะโต YoY และ QoQ

AMATA ตั้งเป้า Presale นิคมฯในไทยปี 2564 ที่ 950 ไร่ หากวัคซีนพาสปอร์ตมีผลบังคับใช้ จะกระตุ้นการเดินทาง ส่งผลดีต่อการตัดสินใจซื้อขายที่ดิน ผสานกับนิคมฯ Halong ในเวียดนาม ลูกค้าได้ทำสัญญา MOU แล้ว 400 ไร่ จะทยอยบันทึกรายได้งวด 3Q64 แนะนำซื้อ

เศรษฐกิจฟื้นตัว หนุน Demand ขนส่งระหว่างประเทศ และตู้คอนเทนเนอร์ยังขาดแคลนอีกทั้งพื้นที่ขนส่งทางอากาศก็มีไม่มาก จะช่วยหนุนกำไร 1Q64 เติบโต YoY ตามปริมาณการค้าอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ที่ฟื้นตัว โดยปีนี้ WICE จะเพิ่มบริการใหม่ๆผลักดันให้รายได้เติบโต 10-15%YoY แนะนำซื้อ

ภาพรวมธุรกิจของ SVI จะเผชิญแรงกดดันจากปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและบาทแข็งในงวด 1H64 กดดันแนวโน้มกำไรในงวด 1H64 แม้คาดสถานการณ์วัตถุดิบจะทยอยฟื้นตัวใน 2H64 แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดควบคู่กับทิศทางค่าเงินบาท จึงมองว่ายังไม่ใช่จังหวะเข้าลงทุนในยามนี้  

เราชอบ MAJOR เนื่องจากเป็นบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการมาของวัคซีนส่งผลให้อุตสาหกรรมหนังทั่วโลกผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและจะฟื้นตัวได้เร็วแบบ V-Shape จากการกลับมาเปิดโรงหนังและหนังที่อัดอั้นมาจากปีก่อน คาดแนวโน้มกำไร 2Q64 แข็งแกร่ง ประเมิน FV ใหม่ 24 บาท แนะนำ ซื้อ

แม้แนวโน้มกำไรปี 2564-65 จะฟื้นตัวชัดเจน จากการออกสินค้าใหม่และเพิ่มช่องทางจำหน่ายมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางของ GMM และมีแผนออกสินค้าใหม่ที่มีส่วนผสมกัญชง แต่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นถึง 35% ใน 2 สัปดาห์ สะท้อนความคาดหวังเชิงบวกไปมากแล้ว จึงลดคำแนะนำเป็น Switch

ภาพรวมธุรกิจยานยนต์และสมาร์ทโฟนโลกฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ หนุนคำสั่งซื้อของ HANA ฟื้นตัวดีกว่าคาด นำไปสู่การปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-65 ขึ้นเฉลี่ย 11% อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังให้น้ำหนักความเสี่ยงค่าเงินบาทแข็งค่าและ Valuation ที่แพง แนะนำขาย

ภาพบวกยอดขายสาขาเดิม (SSSG) คาดต่อเนื่องทั้งปี บวกกับ แผนเปิดสาขาใหม่ปีนี้ที่เชิงรุกกว่าคาด จึงปรับเพิ่มกำไรปี 2564-65 ขึ้น 23% ได้กำไรปี 2564 โตก้าวกระโดด 50% และเพิ่มอีก 20% ในปี 2565 มูลค่าพื้นฐานอิง DCF growth สูงขึ้นเป็น 2.5% ยังให้ Upside เปิดกว้าง หุ้นปัจจุบันยังซื้อขาย P/E’64 ต่ำ 17 เท่า ขณะที่กลุ่มไปไกลถึงเกือบ 33 เท่า

กำไรสุทธิงวด 1Q63/64 ฟื้นตัวชัดเจน จากธุรกิจน้ำตาล ไฟฟ้าและบ. ร่วม BBGI ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิงวด 2Q63/64 จะเติบโตต่อเนื่อง จากการเข้าฤดูกาลส่งออกน้ำตาล นำไปสู่การเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2563/64-65 ขึ้นเฉลี่ย 27% ได้ FV ใหม่ เท่ากับ 3.70 บาท พร้อมเพิ่มคำแนะนำเป็นซื้อ    

SEAFCO ติดตามงานประมูลกว่า 5 พันล้านบาท (ไม่รวม Mega Project) จะช่วยเสริมแกร่งให้ Backlog ปี 2564 คาดหวังรายได้ 2 พันล้านบาท แต่ถ้า Mega Project ออกมาเร็ว เช่น รถไฟฟ้าสายสีชมพู จะจัดหาแรงงานเพิ่มเติม ทิศทางธุรกิจ 1Q64 มีสัญญาณดีขึ้น แนะนำซื้อเมื่อราคาย่อตัว 

แม้ภาพรวมประเมินปี 2564 รายได้เสริมจาก COVID น่าจะลดลงเทียบปีก่อน แต่น่าจะชดเชยได้จาก Upside ส่วนเพิ่มจากผู้ป่วย Fly-in ที่มีโอกาสกลับมาเร็วกว่าคาด จากผลบวกลดวันกักตัว คงคาดกำไรปี 2564 เติบโต 5.6% และเพิ่มเป็น 14% ในปี 2565 หลังรับรู้ค่าใช้จ่ายรพ.ใหม่แล้ว แนะ ซื้อ

CPF เข้าซื้อหุ้น CPA เพิ่ม 43.3% ของทุนชำระแล้ว ซึ่งประกอบธุรกิจกุ้งครบวงจรในอินเดีย มูลค่า 1.4 พันล้านบาท แม้ในระยะสั้นจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรของ CPF ไม่มาก แต่ในระยะยาวมองธุรกิจกุ้งมีศักยภาพเติบโตสูงในอินเดีย ขณะที่ Valuation ของ CPF ยังน่าสนใจ จึงยังแนะนำซื้อ  

GUNKUL ประกาศปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เพื่อให้มีความชัดเจนในแต่ละสายงาน อีกทั้งตั้งเป้าธุรกิจโรงไฟฟ้าสู่ 1.0 พัน MWe ในปี 2566 จากปัจจุบัน 624.2 MWe พร้อมเดินหน้าลงทุนธุรกิจใหม่ กัญชง ถือเป็น upside ใหม่ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ แนะนำให้หาจังหวะเข้าลงทุน

บริษัทฯ คงเป้าหมายปี 2564 เชิงรุก ทั้งจากยอดขายเติบโตและประสิทธิภาพการทำกำไรดีขึ้น อย่างไรก็ดีผลประกอบการปี 2563 ที่ต่ำคาดและแนวโน้ม 1H64 ชะลอตัว จึงปรับลดกำไรปกติปี 2564 – 65 ราว 6% ให้ FV ใหม่ที่ 11 บาท ลดคำแนะนำจาก ซื้อ เป็น Switch ไปยัง SAPPE, CPF หรือ TU         

Backlog ปัจจุบัน 3.2 หมื่นล้านบาท เป็นหลักประกันการเติบโตของรายได้ในปีนี้ แต่ยังต้องรอพิสูจน์เรื่องความสามารถในการทำกำไร เพราะหลายปีที่ผ่านมา มีการปรับปรุงต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มบ่อยครั้ง ราคาหุ้นเต็มมูลค่าพื้นฐาน แนะนำ Switch ไป STEC ที่มีพื้นฐานแกร่งที่สุดในกลุ่มรับเหมาฯ

ประเด็นลบต่อกลุ่มค่ายมือถือ ทั้งเรื่องการเข้าสู่รอบลงทุน 5G และการแข่งขัน เริ่มเห็นโอกาสผ่อนคลายขึ้น หลังมีข้อเสนอขอยืดจ่ายค่าคลื่น 5G ขณะที่การเข้ามารายที่ 4 อย่าง NT ก็ยังไม่ชัดเจน ราคาหุ้นในกลุ่มผ่านการปรับฐานไปแล้ว แนะนำ ADVANC INTUCH  

แนวโน้มธุรกิจปี 2564 ของ THANI จะพลิกกลับมาเติบโตได้ ตามแนวโน้มสินเชื่อฟื้นตัวสอดคล้องกับเศรษฐกิจและยอดขายรถบรรทุกใหม่ ซึ่งจะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในงวด 2H64 ราคาหุ้นมี Valuation ที่น่าสนใจ และคาดปันผลกว่า 5% ต่อปี ขณะที่ Upside เริ่มจำกัด จึงแนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว

แม้ Backlog จะลดลงต่ำสุดในรอบ 11 ปี แต่มีความหวังจะเห็นจุดเปลี่ยนสำคัญในปีนี้ หากได้เซ็นสัญญาโรงไฟฟ้าหลวงพระบาง ขณะที่โครงการภาครัฐทยอยเปิดประมูลในช่วงเวลาที่ CK มีความพร้อมเต็มที่ด้านบุคลากร ส่วนบริษัทลูก 3 แห่งช่วยประคองกำไรให้ CK ในยามที่ธุรกิจหลักสะดุด  

แม้ธุรกิจแบตเตอรี่จะเห็นความคืบหน้าจากการก่อสร้างโรงงานที่จะเริ่ม COD ในเดือนเมษายน 2564 ซึ่งได้รวมอยู่ใน FV แล้ว แต่ในส่วนธุรกิจ EV ทั้งรถและเรือยังคงไม่มีความชัดเจนในการสร้างกำไร อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันได้เกินมูลค่าพื้นฐานปี 64 ที่ 54 บาท/หุ้น ไปแล้ว ช่วงสั้นจึงแนะนำ “Switch”

แนวโน้มธุรกิจบริหารหนี้ยังมีศักยภาพการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง บวกกับการบริหารต้นทุนของ JMT ที่ดีขึ้น นำไปสู่การเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-65 ขึ้นเฉลี่ย 4% อีกทั้ง ยังนำ BV ของหนี้ที่ตัดต้นทุนหมดแล้ว มาประเมินมูลค่าพื้นฐานด้วย ได้ FV ใหม่ 53 บาท พร้อมเพิ่มคำแนะนำเป็นซื้อ

ภาพรวมธุรกิจหลักจะดีขึ้นจากการปล่อยสินเชื่อเชิงรุกมากขึ้นในปี 2564 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น หลังเพิ่มทุนแล้ว ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-65 ขึ้นเฉลี่ย 9% ราคาหุ้นปัจจุบันมี PER เพียง 10 เท่า และปันผลกว่า 6-7% จึงยังแนะนำซื้อ

แผนธุรกิจปีนี้ดีกว่าคาด นำโดย J Mobile กลับมาขยายสาขา และประสิทธิภาพเก็บหนี้ JMT ซึ่งการเกิดขึ้นบนหนี้ที่ตัดต้นทุนครบที่มากขึ้นทุกปีคาดต่อยอดการเติบโตสูงเกิดขึ้นอีกหลายปี มูลค่าหุ้นใหม่รวมมูลค่าหนี้ตัดครบ JMT ที่เริ่มนำมารวมในมูลค่าหุ้น+J Mobile ที่ดีขึ้นเพิ่มมาอยู่ที่ 39 บาท    

โดดเด่นด้านการจ่ายปันผลที่สูง โดย 2H63 ประกาศจ่ายที่ 0.15 บาท/หุ้น คิดเป็น Div Yield ครึ่งปีที่ 3.4% แต่ราคาค่อนข้างเต็มมูลค่าพื้นฐานจึงต้องรอ upside จากโครงการใหม่ๆเข้ามา อีกทั้งโครงการใหม่ที่จะเข้ามาถือเป็นเพียงมาชดเชย Adder โรงไฟฟ้าเดิมที่จะทยอยหมดลง คงแนะนำ “Switch”

ราคาไก่และสุกรในไทยปรับเพิ่มขึ้น จากการบริโภคดีขึ้น ขณะที่ราคาสุกรในเวียดนามและจีนยังยืนสูงต่อเนื่อง จากปัญหาสุกรขาดแคลนในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งคาดว่าจะหนุนแนวโน้มราคาสุกรให้ยืนสูงต่อเนื่องในปี 2564 ขณะที่ Valuation หุ้นที่ได้ประโยชน์ยังน่าสนใจ จึงแนะนำซื้อ CPF และ TFG

เป้าหมายทางการเงินปี 2564 ยังเห็นแรงกดดันต่อ NIM ผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเต็มปี ขณะที่แนวโน้มค่าใช้จ่ายดำเนินงานไม่ได้ปรับลงเร็ว ส่งผลให้ Cost to income ratio สูงขึ้น ภาพรวมใกล้เคียงสมมติฐานฝ่ายวิจัย จึงคงประมาณการ แนะนำ SWITCH ไป KBANK หรือ BBL                  

ราคาเหล็กในประเทศกำลังปรับตัวขึ้น ตามตลาดจีนเดือนมีนาคม (+7% MoM) และจะเพิ่มขึ้นต่อใน 2Q64 เพราะอุปทานยังไม่พอต่อความต้องการ ทำให้ประมาณการกำไรปี 2564 มี Upside เพิ่มเติม ระยะยาว TMT ต้องการครองส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น มุ่งมั่นพัฒาช่องทางจำหน่ายและกำลังการผลิต 

ภาพรวมแม้ฝ่ายวิจัยมองบวกขึ้น ต่อการปรับตัวสร้างยอดขายผ่านช่องทางใหม่ๆ เพื่อทดแทนหน้าร้านค้าปลีกที่ซบเซา แต่ยังต้องติดตามพัฒนาการระยะถัดไป จึงประเมินแนวโน้มระยะยาวยังไม่โดดเด่น คงคำแนะนำ Switch ไป CPALL MAKRO HMPRO ที่เห็นแนวโน้มเติบโตชัดเจนกว่า

ทิศทางธุรกิจสดใส หลายปัจจัยลบเริ่มผ่อนคลายทั้งเรื่องอัตรากำไรและข้อกล่าวหา ป.ป.ช. ต่อบริษัท Backlog ปัจจุบันมี 1 แสนล้านบาท และโอกาสการรับงานใหม่จำนวนมากในปีนี้ จะนำพา STEC ก้าวเข้าสู่ยุคทองอีกครั้ง ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER และ PBV ในอดีตมาก

เชื่อวัคซีนพาสปอร์ต ช่วยปลดล็อคการลงทุน กระตุ้นยอดขายที่ดินนิคมฯ คาดกำไร WHA โดดเด่นช่วง 2H64 วาง CAPEX 8 พันล้านบาท ขยายธุรกิจ และทำดีล M&A ที่เวียดนาม พร้อมตั้งเป้ายอดขาย Presale 1 พันไร่ ขณะที่การขายทรัพย์สินเข้ากอง REIT ปีนี้จะไม่ต่ำกว่า 3.5 พันล้านบาท

ภาพรวมธุรกิจฉลากฟิล์มหดรัดรูปจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2564 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการคลาย lock down หนุนคำสั่งซื้อของลูกค้าเพิ่มขึ้น นำไปสู่การปรับประมาณการกำไรปี 2564-65 ขึ้นเฉลี่ย 7% จากเดิม และ FV ใหม่ ที่ 5.50 บาท พร้อมเพิ่มแนะนำเป็น “ซื้อ”

แนวโน้มธุรกิจหลักในปี 2564 จะเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หนุน SAWAD เร่งปล่อยสินเชื่อมากขึ้น อีกทั้ง ยังคาดหวังผลบวกจากการร่วมทุนกับออมสินในการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าชั้นดีตั้งแต่เม.ย. 64 ราคาหุ้นมี PER 19 เท่า ต่ำกว่า MTC ที่ 25 เท่า ยังแนะนำซื้อ   

ทิศทางกำไรช่วง 2 ปี ข้างหน้า เติบโตเล็กน้อยไม่หวือหวา เว้นแต่จะได้โครงการลงทุนใหม่ที่ผลตอบแทนดีมาต่อยอด จึงให้น้ำหนักลงทุนไปที่ปันผลที่จ่ายสม่ำเสมอเป็นหลัก (2H63 DivYield 2%) ประกอบกับราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาปรับฐานไปมากจนมี valuation จูงใจ เป็นโอกาสทยอยสะสมลงทุน

โครงการลงทุนยังเป็นไปตามแผนเดิม ขณะที่ราคาหุ้นเกินปัจจัยพื้นฐานไปมาก อีกทั้งการจ่ายหุ้นปันผลพร้อมออก warrant SSP-W1 และ SSP-W2 ซึ่งจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นอีก 48.5% จากเดิม ทำให้ทยอยเกิด dilution effect จากนี้ ไปจนถึงปี 2568 ช่วงสั้นจึงปรับลดคำแนะนำเป็น“Switch”

จากการประชุมนักวิเคราะห์ เราคงมุมมองบวก เชื่อว่าธุรกิจพาณิชย์จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ โดยมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่และเตรียมพร้อมสำหรับผลิตภัณฑ์กัญชง คาดกำไรปี 64 เติบโต 44% YoY แม้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาก แต่ยังแนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว รออัพไซด์จากประเด็นบวกใหม่  

แม้เราคงมุมมองที่ดีต่อการเติบโตของ KEX โดยมีแรงหนุนจากตลาด                    อีคอมเมิร์ซและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คาดการณ์กำไรปี 64 เติบโต 21%YoY จากปริมาณการจัดส่งพัสดุที่เพิ่มขึ้น และประเมินราคาเหมาะสมใหม่เท่ากับ 52 บาท แต่มองว่าราคาหุ้นปัจจุบันเกินมูลค่าพื้นฐานไปแล้ว   

SFLEX เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ไปยังกลุ่ม Food ซึ่ง Margin สูงกว่ากลุ่ม Non food เสริมประสิทธิภาพการทำกำไร อีกทั้งแผนการขยายโรงงานใหม่ที่แล้วเสร็จช่วงปลายปี 64 จะช่วยหนุนกำไรปี 64 เติบโต 29.5% yoy ราคาหุ้นยังมี Upsize กว่า  20% มองเป็นโอกาสทยอยสะสมลงทุน

กำไรปกติ 4Q63 เท่ากับ 497 ล้านบาท ขยายตัว 35% yoy หนุนจาก Gross Margin เพิ่มสูงขึ้น จากราคาขายเมล็ดถั่วเหลืองปรับเพิ่มในอัตราสูงกว่าต้นทุน คาดภาพดังกล่าวยังมีทิศทางต่อเนื่องถึง 1Q64 หนุนกำไรปกติเติบโตทั้ง QoQ และ YoY กอปรกับ Div yield สูงราว 6% แนะนำ ซื้อ             

กำไรสุทธิงวด 4Q63 ยังเดินหน้าทำ New high ต่อเนื่อง จากธุรกิจบริหารหนี้ ซึ่งยังเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่องในปี 2564 จากพอร์ตลูกหนี้ที่ตัดต้นทุนหมดแล้วเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นกว่า 37% ในรอบ 2 เดือน จนมี PER ที่ 34 เท่า จึงมอง JMART น่าสนใจมากกว่า  

ยอดขายสาขาเดิม YTD แม้ลดลง yoy แต่ดีขึ้นชัดเจนจาก 4Q63 ขณะที่การต่อยอด S-Curve ใหม่ดีขึ้น ทั้งการเปิดสาขาใหม่มาเลเซียที่ธุรกิจเริ่มนิ่ง รวมถึงการรุกเวียดนาม ที่ยังมีโอกาสสูง แม้ต้องรอการเติบโต แต่ราคาปัจจุบัน PER’64 ต่ำ 29 เท่า VS กลุ่มฯ 37 เท่า ยังถูกเกินไป แนะนำ ซื้อ

4Q63 ขาดทุน แย่กว่าคาด จากต้นทุนเพิ่มขึ้นจากบริการใหม่ๆให้ลูกค้า จึงปรับลดประมาณการปี 2563-64 ลง 14.9% คาดยังขาดทุน 2-3 ปีนี้ ขณะที่จุดที่น่าห่วง คือ ความเสี่ยงฐานทุน สิ้นปี 2563 ที่เหลือเพียง 3.9 พันล้านบาท ซึ่งรองรับขาดทุนที่มีต่อไปอีกไม่นาน คงแนะนำ ขาย

ปี 2563 กำไรปกติตามคาด 2.52 พันล้านบาท ลดลง 5% yoy คาดปี 2564กำไรกลับมาโต 16% หนุนจากยอดโอนฯ สูงขึ้น 18% yoy และมี Backlog รองรับแล้ว 81% แนะนำซื้อ FV 8.35 บาท โดย ORI ประกาศปันผล 4Q63 หุ้นละ 0.39 บาท (หรือ 5.4%) ด้านราคาหุ้นมี PER ซื้อขายเพียง 6 เท่า

กำไรปกติปี 2563 ที่ 1.57 พันล้านบาท ลดลง 18% yoy จากมาร์จิ้นอ่อนตัวและส่วนแบ่งกำไร JV ลดลงเป็นหลัก ขณะที่กำไรปี 2564 คาดยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากยอดโอนฯ ของบริษัทเอง และ JV มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อน ด้านราคาเกิน FV คง SWITCH ไป SPALI และ LH

CKP มีการบริหารปริมาณน้ำพร้อมผลิตไฟฟ้าในช่วงแล้ง 1H64 ดังนั้นคาดกำไรจะไม่ตกต่ำเช่นปีที่ผ่านมา อีกทั้งผู้บริหารคาดปี 64 ฝนจะตกตามฤดูกาลปกติ จึงหนุนให้กำไรปี 64 น่าเติบโตสูง YoY ขณะที่ราคาหุ้นปรับฐานจนน่าสนใจทยอยลงทุน พร้อมจ่ายปันผล 0.035 บาท/หุ้น...ปรับเป็น “ซื้อ”

4Q63 ขาดทุน 35 ล้านบาท เพราะการปรับปรุงทางบัญชีทำให้กำไรขั้นต้นหายไปกว่า 20 ล้านบาท รวมถึงการตั้งสำรองหนี้สูญ 15.4 ล้านบาท ภาพรวมปี 2563 กำไรจึงลดลง 62% YoY ปัจจุบันสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลาย ระยะสั้น 1Q64 คาดพลิกกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง แนะนำซื้อ  

งวด 4Q63 พลิกเป็นขาดทุน จาก FX Loss และมีการบันทึกภาษีย้อนหลังโรงไฟฟ้า Ahlone#1 แม้ภาพรวมธุรกิจปีนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงมากนักจาก Backlog ที่ยกมาและงานระหว่างติดตามจำนวนมาก แต่ความเสี่ยงเกี่ยวกับโรงไฟฟ้า Ahlone#2 ที่มีนัยสำคัญต่อ FV จึงแนะนำให้ Switch ไป STEC

กำไร 4Q63 ลดลง 67%yoy หลักๆจาก SSSG ที่ยังหดตัวหนัก อย่างไรก็ตาม ปี 2564 คาดหวังฟื้นตัวเด่นขึ้นนับจาก 2Q64 จากทุกธุรกิจฟื้นตัว + การเปิดสาขาใหม่ ขณะที่จากแผนธุรกิจเวียดนามเชิงรุกขึ้น จะเปิด Upside ประมาณการ, มูลค่าพื้นฐานสูงราว 42 – 45 บาท แนะ ซื้อ รอรับการฟื้นตัว

งวด 4Q63 ยังขาดทุนหนัก ธุรกิจหลักไม่ฟื้นตัวและถูกซ้ำเติมด้วย FX Loss ทิศทางธุรกิจ 1H64 ยังไม่เด่นจากยอดรับรู้รายได้ที่ทรงตัวระดับต่ำ แม้พอมีประเด็นให้เก็งกำไรได้บ้างจากการขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT แต่ยังเร็วไปที่จะเข้าลงทุนในเวลานี้ เชื่อจุดเหมาะสมเข้าลงทุนน่าจะเป็นช่วงกลางปี 64

งวด 4Q63 ขาดทุนหนักจากสารพัดปัจจัยลบ ทั้งการรับรู้รายได้ที่ล่าช้า ต้นทุนก่อสร้างบานปลายและมีค่าใช้จ่ายพิเศษ มองอนาคตยังเต็มไปด้วยความเสี่ยง ทั้งเรื่องการตั้งสำรองด้อยค่า และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่สูง แม้ราคาหุ้นต่ำกว่า BV มากแต่ยังไม่น่าสนใจลงทุน แนะนำ Switch ไป STEC

ผลประกอบการ 4Q63 ยังขาดทุนต่อเนื่องอยู่ที่ 187 ล้านบาท กดดันจากต้นทุนเศษไม้ยางพาราปรับตัวสูงขึ้น ฉุด Gross Margin 4Q63 ลดลงเหลือ 9.6% ภาพรวมปี 2563 VNG ขาดทุนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ระยะสั้น 1Q64 ยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบ ราคาหุ้นเต็มมูลค่า แนะนำขาย

กำไรปกติปี 2563 เท่ากับ 146 ล้านบาท ลดลง 81% yoy และต่ำคาด  15% จาก Gross Margin ต่ำกว่าคาด ขณะที่แนวโน้มปี 2564 แม้ฟื้นตัว แต่การจ่ายหุ้นปันผลในอัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ทำให้ FV ใหม่ หลังรวมหุ้นปันผล FV จาก 22 บาท จะอยู่ที่ 20 บาท จึงลดคำแนะนำจาก ซื้อ เป็น SWITCH     

เรามีมุมมองบวกต่อการฟื้นตัวของสื่อนอกบ้านหลังกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ เชื่อว่า PLANB จะฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในปีนี้ จากการขยายสื่อใหม่อย่างต่อเนื่องและอัตราการใช้สื่อโฆษณาที่เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจ Engagement เริ่มฟื้นจากการจัดงานอีเว้นต์ ประเมินราคาเหมาะสม 7.50 บาท แนะนำ ซื้อ

ภาพยะยาวมองการเติบโตจากโครงการใหม่ ๆ ที่เตรียมทยอย COD ไปจนถึงปี 2568 กว่า 953 เมกะวัตต์ พร้อมเดินหน้าศึกษาเข้าลงทุน M&A โดยมุ่งเน้นไปที่เวียดนาม ซึ่งคาดจะประกาศในปีนี้อีกราว 1-2 โครงการ ราคาหุ้นปัจจุบันเริ่มปรับฐานจนเห็น upside กว่า 24% แนะนำทยอยซื้อสะสมลงทุน

กำไรปกติ 4Q63 เพิ่มขึ้น จากยอดขายในกลุ่มยานยนต์และสมาร์ทโฟน ซึ่งยังส่งผลบวกต่อเนื่องและหนุนแนวโน้มกำไรปกติปี 2564 เพิ่มขึ้น 3% yoy แต่ HANA ยังเผชิญความเสี่ยงจากทิศทางเงินบาทแข็งค่า ถือเป็นความเสี่ยงต่อ gross margin ปี 2564 อีกทั้ง ยังมี PER สูงถึง 23 เท่า จึงยังแนะนำขาย